ตามรอย 'ร.5 เสด็จอินเดีย' มองการปฏิรูปรัชสมัยมุมใหม่
แม้จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม แต่แสงแดดที่เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย ยังจัดจ้าไม่น้อย
บนศาลาของป้อมรามนคร ริมน้ำคงคา เมื่อมองข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งก็จะเห็นท่าน้ำ (GHAT) ที่ตั้งเรียงรายอยู่ลิบๆ อันเป็นจุดที่ผู้คนชาวฮินดูมาอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อชำระบาป
ชาวฮินดูเชื่อกันว่า แม่น้ำคงคาเป็นสายน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ปีจะมีผู้แสวงบุญชาวฮินดูนับล้านคน เดินทางมาจาริกแสวงบุญ และในวันที่สิ้นชีพลง ญาติพี่น้องก็ต้องนำศพมาเผาและทิ้งเถ้าอังคารลงแม่น้ำสายนี้เช่นกัน ด้วยเชื่อว่าแม่น้ำที่ไหลมาจากภูเขาหิมาลัยสายนี้ จะนำพาพวกเขาไปสู่สวรรค์ได้
ย้อนอดีตกลับไป 100 ปีเศษ มหาราชาแห่งป้อมรามนคร ได้ถวายการต้อนรับยุวกษัตริย์พระองค์หนึ่งของไทย ดังข้อความที่ปรากฏในหนังสือ 'ร.5 เสด็จอินเดีย' ซึ่งเขียนโดย ศ.สาคชิดอนันท สหาย แห่งมหาวิทยาลัยมคธ เมืองพุทธคยา ว่า
"วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2414...ในตอนเย็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปเยือนป้อมรามนคร ที่ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับจากอิชวารี ปราสาท นาเรน สิงห์ ผู้เป็นมหาราชาแห่งพาราณสี ทรงประทับบนเรือล่องแม่น้ำคงคาจากราชฆาต ไปจนถึงรามนคร ยุวกษัตริย์ทรงพระเกษมสำราญกับทิวทัศน์อันงดงามที่สุดตอนหนึ่งของแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์...
"ที่บริเวณท่าน้ำของป้อมรามนครนั้น มหาราชาแห่งพาราณสีได้จัดเตรียมควาญช้างและม้าจำนวนมากเพื่อต้อนรับคณะของพระเจ้าแผ่นดินสยาม มีการยิงสลุตถวายการคำนับ 21 นัดในนามของมหาราชาแห่งพาราณสี เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึง และเสด็จพระราชดำเนินจากไป"
ป้อมรามนครแห่งเมืองพาราณสี เป็นสถานที่หนึ่งที่รัชกาลที่ 5 เสด็จไปเยือน ในคราวที่ประพาสอินเดีย ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 19 พรรษา และได้รับการต้อนรับจากอิชวารี ปราสาท นาเรน สิงห์ มหาราชาแห่งพาราณสี (พ.ศ.2373-2432) มหาราชาผู้อุปถัมภ์ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ รวมทั้งอุปถัมภ์โรงละครรามายนะ ทำให้ป้อมรามนครเป็นสถานที่อันมีชื่อเสียง อันเนื่องมาจากมีคณะต่างๆ วนเวียนมาแสดงละครรามายนะที่นี่ในช่วงปลายเดือนกันยายน-ตุลาคม
รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จอินเดียและพม่า พร้อมทั้งแวะที่มะละกาและปีนัง ในปี พ.ศ.2414 (16 ธันวาคม 2514-16 มีนาคม 2515) โดยเข้าทางอ่าวเมืองกัลกัตตา แล้วเดินทางโดยรถไฟไปพาราณสี เดลลี บอมเบย์ และสารนาถ การเดินทางส่วนใหญ่ใช้รถไฟ รวมแล้วใช้เวลาบนรถไฟ 200 ชั่วโมง
สำหรับเมืองที่พระองค์เสด็จประพาสในครั้งนั้น ประกอบด้วย กัลกาตา เดลี อักรา คอนปอร์ ลักเนาว์ บอม เบย์ และพาราณสี โดยใช้เวลาถึง 47 วัน
อินเดียที่รัชกาลที่ 5 ทรงไปพบเห็นนั้น เป็นยุคสมัยของบริติชราช ที่สืบมรดกดินแดนและอำนาจมาจากบริษัทอีสต์อินเดียที่ถูกยุบเลิกไปในปี พ.ศ.2401 ภายหลังการมีกบฏอินเดียครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2400 ทำให้มีการตั้ง 'กระทรวงอินเดีย' ขึ้น มีรัฐมนตรีดูแลกำกับรับผิดชอบโดยตรงในกรุงลอนดอน ในขณะที่อินเดียเองมีตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ ซึ่งต่อมาได้รับยกย่องให้เป็นอุปราช
ศ.สาคชิดอนันท สหาย กล่าวว่า จากเอกสารและข้อมูลที่สำรวจมา ชี้ให้เห็นว่า การเดินทางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของรัชกาลที่ 5 ในขณะที่พระองค์ทรงเป็นยุวกษัตริย์อายุ 19 ปีนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความปรารถนาที่จะได้เห็นสถานที่แปลกใหม่ หรือเป็นการศึกษาส่วนพระองค์ หากแต่เป็นการดำเนินวิเทโศบายทางการทูตชั้นสูงที่วางแผนขึ้น เพราะได้ตระหนักถึงอำนาจของอังกฤษที่ทวียิ่งขึ้นในประเทศอินเดียและประเทศพม่า ประการสำคัญ คือ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพยายามอย่างยิ่งในการสำรวจสถานการณ์ร่วมสมัยในบริบททั้งด้านการเมือง การทหาร สังคมและวัฒนธรรมของประเทศอินเดีย เพื่อใช้เป็นแบบอย่างสำหรับประเทศของพระองค์"
ขณะที่ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
หนึ่ง - การเสด็จต่างประเทศในสมัยต้นรัชกาลเมื่อยังเป็นยุวกษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสด็จเมืองขึ้นของอังกฤษ คือสิงคโปร์ (และชวาของฮอลันดา) พ.ศ.2413 และการเสด็จอินเดียกับพม่าในปี พ.ศ.2414 มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิรูปนโยบายในสมัยรัชกาลที่ 5 และต่อๆ มาในสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7
สอง - การปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้สยามกลายเป็น 'รัฐราชวงศ์' ที่มีการโยงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางที่องค์พระมหากษัตริย์ กลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มากกว่าการเป็น 'รัฐชาติ หรือรัฐประชาชาติ' อันเป็นรูปแบบของรัฐสมัยใหม่ นับแต่การปฏิวัติประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกัน พ.ศ.2119 (ตรงกับสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี-ตากสิน) หรือการปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ.2332 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
กล่าวโดยสรุป ดร.ชาญวิทย์ มีความเห็นว่า การเสด็จฯ ต่างแดนรอบๆ บ้านสยามในอาณานิคมของฮอลันดาและอังกฤษ คือสิงคโปร์ (ชวา พม่า และอินเดีย) มีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์การเมือง การปกครองของไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ดีและมากกว่า
โดยรูปแบบการปกครองของเจ้าอาณานิคมนี้ เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 5 รวมทั้งเจ้าและขุนนางสยาม ให้ความสนใจ ต้องการเรียนรู้และลอกเลียน เพราะเป็นเรื่องที่เห็นชัดใกล้ตัว มีผลกระทบต่อบ้านเมืองของสยามโดยตรง ก่อนที่ชนชั้นนำไทยจะเดินทางไปไกลถึงศูนย์กลางของมหาอำนาจใหม่ที่กรุงลอนดอน กรุงปารีส กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หรือบางเมืองหลวงของประเทศในยุโรปอีกสองสามทศวรรษต่อมาจากต้นสมัยรัชกาลที่ 5
และในโอกาสครบรอบวันพระบรมราชสมภพ 150 ปีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มูลนิธิโตโยต้า ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง 'รัชกาลที่ 5 : สยามกับอุษาคเนย์และชมพูทวีป' ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546 ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
งานสัมมนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เผยแพร่พระเกียรติคุณ และพระบารมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เพื่อทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอดีต และพัฒนาการของการเมืองระหว่างประเทศ สยาม ไทย และอุษาคเนย์
รายงานพิเศษ สิริวิชญ์ เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 598 วันที่ 17 - 23 พ.ย. 2546