Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ไปเยือนเมืองแขก


Senior Member

Status: Offline
Posts: 379
Date:
ไปเยือนเมืองแขก
Permalink   


 ไปเยือนเมืองแขก




     ทันทีที่เครื่องบินแตะสนามบิน ฉันรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของดินแดนภารตะ.....ใช่แล้วที่นี่คือประเทศอินเดีย.....เป็นที่ที่ฉันไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาเยือน ฉันต้องติดตามพี่สาวมาทำงานและประชุม การเดินทางครั้งนี้ยาวนานถึง 15 วัน เดินทาง 3 เมือง คือ มุมไบ (Mumbai) , บังกะลอร์ (Bangalore) และ โกลกัตตา (Kolkatta)... แต่ละเมืองห่างกันมาก ระยะเวลาที่จำกัดแค่นี้ ต้อง เดินทางด้วยเครื่องบินในแต่ละครั้งที่เปลี่ยนเมือง... คราวนี้ฉันคงแย่แน่ ๆ...เพราะไม่ถูกกับการนั่งเครื่องบินสักเท่าไหร่...

     ฉันรีบคว้ากระเป๋าคอมพิวเตอร์แบบพกพามาสะพายอย่างรวดเร็ว เพราะพี่กระซิบบอกแล้วว่า ถ้าเครื่องใกล้ลงเมื่อไหร่ให้รีบเตรียมตัวหยิบสัมภาระก่อนที่บรรดา ชาวภารตะทั้งหลายจะมะรุมมะตุ้ม เฮละโลกันมายืนออ ทำให้เราหยิบของไม่ได้.... ดังนั้นพอสิ้นเสียงกัปตันประกาศบอกว่าถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพแล้ว ฉันก็รีบคว้ากระเป๋าบนชั้นวางของเหนือที่นั่งทันที พี่ฉันนั่งหัวเราะกับความว่องไวของฉัน...

      เมื่อพวกเราออกมาด้านหน้าสนามบิน ภาพที่เห็นทำเอาฉันยืนงงไปพักนึง...อุแม่เจ้า...นี่หรือคือสนามบิน...มันดูคล้ายกับชานชาลารถ บ.ข.ส. บ้านเราเลย มองออกไปข้างนอกฝุ่นตลบอบอวล ดูอึมครึม...ผู้คนก็ดูดำมืด หน้าตาเหมือน ๆ กัน ไปหมด...ฉันคิดในใจว่า...เวลาพวกฝรั่งเห็นคนไทยพวกเขาก็คงคิดว่า คนไทยหน้าตาเหมือน ๆ กันหมด...เช่นฉันตอนนี้...


      มืองแรกที่ฉันมาเยือนคือ บอมเบย์ (Bombay) ซึ่งถูกตั้งชื่อใหม่ว่า มุมไบ (Mumbai)..."Madame...Madame this way...welcome to Mumbai...Mr...sent me to pick you up" เสียงพนักงานขับรถพูดไป พลางส่ายหน้าด๊อกแด๊ก ๆ ไป เมื่อเราแสดงตัวเพราะเห็นป้ายชื่อ ที่ถูกชูขึ้นรอต้อนรับพวกเรา เพื่อให้รู้ทั้งสองฝ่ายว่าใครเป็นใคร
       รถที่มารับเราเป็นรถเก่ารูปร่างคล้าย เมอร์ซิเดสเบนซ์ รุ่นโบราณ แต่ที่เมืองนี้เรียกว่า รถแอมบาสซาเดอร์ เป็นรถที่ผลิตในประเทศนี้ ฉันเข้าไปในรถพบว่า เบาะยกสูงนั่งสบายและนิ่มมาก เวลารถเคลื่อนตัว ไม่มีเสียงดังและนิ่มนวล ราวกับนั่งเมอร์ซิเดสเบนซ์ เลยทีเดียว ฉันสังเกตเห็นหน้ากระจกรถแขวนพวงมาลัย ทำด้วยดอกบานชื่นสีเหลืองสดร้อยสลับกับดอกสีขาวคล้ายดอกมะลิ มีกลิ่นหอมโชยมาพอชื่นใจ...

       ก็ไม่เลวจนเกินไปหรอกนะ... ฉันปลอบใจตัวเอง...ระหว่างทางฉันก็เริ่มตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพรอบตัว เห็นผู้คนบนถนนเดินกันขวักไขว่ รถเมล์แน่นยังกับปลากระป๋อง รถก็ติดมาก แถมมีฝนตกปรอย ๆ...รถขับผ่านไปเรื่อย ๆ จนใกล้ถึงโรงแรมที่พัก ฉันเห็นชายทะเลอยู่ข้างหน้า แต่ที่แปลกตาคือผู้คนส่วนใหญ่ในชายหาด แต่งกายแบบมิดชิด ผู้หญิงนุ่งสาหรี่ ผู้ชายใส่เสื้อเชิ๊ตและกางเกงขายาว เดินกันขวักไขว่ ริมหาด...หากมองผ่าน ๆ ก็เป็นภาพที่ดูแล้วตลกดี...แต่...ฉันเห็นว่า ผู้คนที่นี่ยังรักษาขนบธรรมเนียม และประเพณีดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น คือการแต่งกายมิดชิด ไม่โชว์เนื้อหนังมังสา ถึงจะดูอึดอัดอยู่สักหน่อย

       ประเทศนี้มีอะไรให้น่าขบคิดอยู่มากทีเดียว...เป็นประเทศที่ยึดถือจารีตประเพณีอย่างเหนียวแน่นเปลี่ยนแปลงได้ยาก ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู...ฝรั่ง...ญี่ปุ่น... พยายามที่จะเข้าไปขายโน่น ขายนี่ แต่เข้าถึงลำบากมาก พวกเขาก็ไม่ละความพยายามที่จะเจาะตลาดให้ได้ เพราะประชากรมากมาย หมายถึงผลตอบแทนมหาศาล....

       นี่ถ้าเป็นบ้านเราก็จะใส่ชุดว่ายน้ำ หรือไม่ก็กางเกงขาสั้น ผู้หญิงหากไม่ใส่ชุดว่ายน้ำ ก็ใส่สายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น (สั้นนิด ๆ จนถึง สั้นจุดจู๋) หรือไม่ก็พันผ้าสีสดใสลายต้นมะพร้าว หรือชายทะเล เวลาลมพัดปลิว เห็นขาอ่อน ชวนมอง......แสดงให้เห็นว่าบ้านเรารับเอาอารยธรรมของตะวันตกเข้ามาเต็มรูปแบบ.....คุณลองหลับตานึกภาพดูซิคะ หากเราใส่ชุดไทยเรือนต้นไปเดินชายหาด มันคงแปลกพิลึกละ......

       คืนแรกที่มุมไบ ฉันได้พักที่โรงแรม Tajmahal เป็นโรงแรม 5 ดาวที่จะมี chain อยู่ทั่วอินเดีย สำหรับที่นี่เค้าดัดแปลงที่พักจากราชวังเก่าของอินเดีย ตัวโรงแรมหันหน้าเข้าหาทะเล...อาหารเย็นของเราเป็นอาหารจีน ซึ่งอร่อยมาก (อยู่เมืองอินเดีย 15 วัน ไม่เคยได้ริ้มรสอาหารไทยที่อร่อยเลยสักวัน...ไม่จืดไป ก็เค็มไป หรือไม่ก็หวานเลี่ยนเลย เพราะไม่มีกุ๊กคนไทยที่นี่ ก็แน่ละ...คนไทยคงไม่มีใครอยู่ที่นี่ได้นานหรอก)

       พี่บอกว่าเราไม่ได้หัวสูงหรอกนะ...ที่พักโรงแรม 5 ดาวน่ะ เพราะถ้าระดับต่ำกว่านี้ รับรองว่าเราอยู่ไม่ได้แน่ ๆ (ฉันก็เคยเห็นรายการทีวีรายการหนึ่งที่มี เรย์ แมคโดนัล เป็นพิธีกร เขาไปพักโรงแรมอะไรไม่ทราบ แต่เห็นสภาพของโรงแรมแล้วผู้หญิงคงไม่กล้านอนแน่ ๆ)

     วันแรกในการทำงานของฉันที่มุมไบ ก็เป็นเพียงผู้ติดตาม ดูวิธีการทำงาน วิธีการเจรจาต่อรอง สังเกตว่าชาวภารตะส่วนใหญ่มีลักษณะท่าทางการพูดไม่แตกต่างกันนัก คุณคงเคยเห็นในโทรทัศน์บ้างหรอกน่ะ.....ก็พูดไปยกมือส่ายไปมา หัวก็ส่ายไปส่ายมา ดูแล้วเมื่อยแทนจริง ๆ

       อยู่มุมไบ 2-3 วัน ก็รับเลี้ยงทุกวัน มีอยู่บริษัทหนึ่งเลี้ยงเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์แต่หัววัน เล่นเอาเรามึนไปเลย คาดว่าคงจะถือโอกาสใช้เงินบริษัทเลี้ยงเราและเลี้ยงตัวเองไปในตัว

       มีอีกบริษัทหนึ่งเขาอยากให้เรากินอาหารแบบพื้นเมืองทางใต้ (อาหารของเมือง เชนไน (Chennai) เมืองนี้เดิมชื่อ มาดดราส (Madras)) เขาพาเราไปร้านที่ขึ้นชื่อที่สุด เป็น Indian Traditional Rrestaurant พอเรานั่งปุ๊บ เขาก็เอาใบตองมาวาง และข้างหน้าจะมีถ้วยใส่เครื่องเคียงวางเรียงราย เท่าที่รู้จักมีโยเกิร์ต (ภาษาฮินดี เรียกว่า Dahi) ถ้วยสีเขียวก็เป็นสะระแหน่ปั่น (ภาษาฮินดี เรียกว่า Chutney ) และถ้วยสีแดงก็เป็นหอมดองเครื่องเทศ (ภาษาฮินดีเรียกว่า Lal)

       พออาหารมา เขาก็แสดงวิธีการกินให้ดู คือตักข้าววางลงบนใบตอง แล้วจะกินอะไรก็กินบนใบตองนั้น มันก็เหมือนเราเปิบข้าวด้วยมือน่ะแหละ... แต่ที่ไม่น่าดูก็ตรงที่เขาเอาโยเกิร์ต และอะไรต่อมิอะไรราดลงไปบนข้าว และลงมือกินด้วยมือเปล่า น้ำจิ้มเหล่านั้นนอกจากจะไหลนองอยู่บนใบตองแล้ว พอเขาเปิบเข้าปากมันก็เริ่มไหลย้อนกลับมาตรงข้อศอก....แถมในใบตองมันก็ดูเขละ ๆ เละ ๆ พิกล....ภาพตรงหน้าทำเอาฉันผะอืด ผะอม....แต่ด้วยมารยาทฉันก็ก้มหน้าก้มตากิน นาน( ภาษีฮินดีเรียกว่า Nan เป็นแผ่นแป้งแบน ๆ กลมๆ วงใหญ่คล้าย ๆ แป้งโรตี แต่ใหญ่กว่า ต้องกินตอนร้อน ๆ จะอร่อยมาก) กับไก่ย่างแบบอินเดีย (ภาษาฮินดีเรียกว่า Tandoori) ของโปรดของฉันไปเรื่อย ๆ... เค้าก็ถามว่าทำไมไม่กินแบบเค้าล่ะอร่อยมากเลยรู้มั้ย ?


     ....ฉันก็บอกว่ากินแบบนี้ก็อร่อยดี ฉันชอบกินแบบแห้ง ๆ ...แต่เขาก็คงรู้ทันฉันน่ะแหละ.....เพราะเหลือบตามาทีไร ฉันก็กินอยู่ 2 อย่างเท่านั้น....ความจริงอาหารโปรดอีกอย่างของฉันคือ ชิกกาบับ (ภาษาฮินดีเรียกว่า Shish Kabab) เขาเอาเนื้อแกะมาบดผสมกับเครื่องเทศ แล้วทำเป็นแท่ง ๆ ปิ้งหรือทอดก็อร่อย แต่เจ้าที่อร่อยที่สุดอยู่ที่กรุงนิวเดลลี ถึงขนาดต้องสั่งจองกันเลย ฉันเคยได้ลิ้มลองมาแล้ว อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกิน Kabab มาเลยในชีวิตนี้....

     วันรุ่งขึ้นเราต้องไปบังกะลอร์ (Bangalore) เกือบจะตกเครื่องบิน เพราะรถเจ้ากรรมติดกระหน่ำ ยิ่งกว่าบ้านเราซะอีก พอถึงบังกะลอร์ ฉันก็พบว่าเมืองนี้น่าอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั่วทั้งเมือง ดูเขียว ๆ ร่มรื่นดี อากาศก็เย็นกำลังดี... มีคนบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองพักผ่อน และท่องเที่ยว...สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ของเมืองนี้เป็นแบบอังกฤษ แต่น่าเสียดายที่บ้านเมืองเค้าไม่ค่อยรักษาความสะอาด ทำให้ไม่สวยสะดุดตาเท่าที่ควร
      เรามาเมืองนี้เพื่อร่วมงานเลี้ยง...ซึ่งจะมีนักธุรกิจใหญ่ ๆ มารวมตัวกันครบ เป็นงานที่จัดได้ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว มีเวทีการแสดงคล้ายเวทีคอนเสิร์ต แล้วมี Cat walk ยาวฉีกออกมาด้านหน้า แสดงว่าต้องมีแฟชั่นโชว์แน่นอน.... เห็นแล้วทึ่งไม่เบา ถ้าจะมีแสง สี เสียง ตระการตา

        และเป็นไปตามคาด... หลังจากงานเลี้ยงค็อกเท็ลเริ่มไปได้ประมาณ 45 นาที เป็นช่วงเวลาที่แขกเริ่มสนุกสนานได้ที่ เพราะเริ่มแก่ดีกรีกันแล้ว (งานนี้เครื่องดื่ม และอาหาร จัดไว้มากมายแบบไม่อั้น) พิธีกรบนเวทีก็เริ่มส่งเสียงให้ทราบว่ารายการต่อไปจะมีการเดินแบบของนางแบบชั้นแนวหน้าจาก กรุงนิวเดลลี สิ้นเสียงพิธีกร... เพลงเริ่มเปิดเร่งจังหวะคึกคัก... นางแบบชาวภารตะคนแรกเดินออกมา ทำเอาฉันยืนตะลึง จังงังไปเลย... พวกเธอเดินโยกย้าย ส่ายสะโพก พร้อมโพสท่าอย่างมั่นใจ ดูเป็นมืออาชีพจริง ๆ....นางแบบของเขาสวยสง่าไม่แพ้สาวปาริเซียนเลย.....แต่แปลกจัง ฉันไม่ยักเห็นผู้ชายหล่อ ๆ ในเมืองนี้สักคน.... 


       เมืองสุดท้ายที่ฉันต้องไปเยือนคือ โกลกัตตา (Kolkatta) ชื่อเดิมคือ กัลกัตตา (Caucutta) เมืองนี้มีสิ่งหนึ่งที่ประทับใจไม่รู้ลืม....นั่นคือการขับรถ....ฟังแล้วมันธรรมด๊า ธรรมดา มาก... ก็แค่ขับรถ...แต่ที่เมืองนี้ไม่ธรรมดาเลย...หากคุณจะนั่งรถที่นี่ให้มีความสุข...สิ่งที่ควรเตรียมไปคือ soundabout เปิดให้ดัง ๆ แล้วลืมโลกภายนอกไปเลย...เพราะตั้งแต่รถออกไปตามถนน สิ่งที่ได้ยินทุก ๆ วินาทีคือเสียงแตรรถ....บีบกันดังลั่นไปทั้งถนน ฉันสังเกตว่าหูช้างของรถทุกคันมันถูกหุบ (จริง ๆ แล้วฉันเห็นเขาหุบหูช้างกันเป็นส่วนใหญ่ในทุกเมือง) ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือเก่า (ที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้รถหรูหรา นาน ๆ จะมีให้เห็นสักคัน เพราะภาษีสูงมาก คนที่ใช้รถเบนซ์ได้ต้องรวยจริง ๆ เขาบอกว่าฮอนด้า แอคคอร์ด ก็หรูสุดแล้ว) วิธีการขับก็คือ ทุกคันจะขับตรงไปข้างหน้าแบบเข้าหากัน ดูน่าหวาดเสียวว่าจะต้องชนแน่ ๆ แต่ไม่ชนนะ...ขอบอก...พอถึงจุดรวมตัวก็จะแยกออกจากกัน (ฉันเรียกในใจว่า จุด peak สุด) ขับกันแบบนี้ทุก ๆ แยก...



      นอกจากนี้แล้ว...จะตะโกนด่ากันเป็นระยะ...มีอยู่ช่วงหนึ่งรถติดนานมาก...พอออกตัวได้ทุกคันก็ขับแบบที่เล่ามาข้างต้น...แล้วก็แย่งทางกันอุตลุด... มีรถสองคันหยุดกึก แล้วลงมาด่ากัน... ทำท่า ทำทางเหมือนจะชกกัน... ฉันลุ้นว่าชกกันแหง ๆ แต่สุดท้าย...พอด่ากันพอหอมปากหอมคอ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันขึ้นรถขับต่อไป... พี่บอกว่า..."ไม่ต้องตื่นเต้น เขาเป็นกันแบบนี้แหละ เมื่อสมัยมาที่นี่ใหม่ ๆ ตอนแรก ๆ ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่เพื่อนชาวอินเดียบอกว่าไม่มีวันชกกันหรอก มันเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่" ...ก็เห็นจะจริงนะ...เพราะฉันก็เห็นกับตาเช่นกัน....เฮ้อ...แปลกแต่จริง...

       อยู่ในรถตลอดเวลานั้น... ในหูของฉันมีแต่เสียงด่า และเสียงแตรรถดังแปร๋ แปร๋น ก้องอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีของแถม คือฝนเริ่มตกปรอย ๆ รถที่นั่งก็ไม่มีแอร์ เพราะวันนี้ค่อนข้างฉุกละหุกเราต้องเรียกรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นรถสีดำคันเล็ก ๆ ฉันเริ่มได้กลิ่นตุ ๆ มาจากด้านหน้า เราหันมามองหน้ากัน พี่สาวฉันเริ่มควานหายาดม แล้วยัดเข้าจมูกทันที ส่วนฉันไม่เคยพก ก็ต้องเอามือปิดจมูกไป ทนไม่ได้ก็ขอมาดมทีนึง เราก็จะผลัดกันดมยาดมและหัวเราะกันไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมายก็แทบจะลมใส่เลยทีเดียว พอรถจอดเจ้าโชว์เฟอร์ตัวดีเริ่มเกเร เราตกลงกันว่าค่ารถ 200 รูปี แต่พี่แกบอกฉันว่า 250 รูปี ฉันเลยทบทวนความจำเขาหน่อย ว่าเราตกลงกันราคาเท่านี้ไม่ใช่หรือ ? เขาก็ตอบว่า ใช่ แต่ส่ายหน้าไปมา (เอาละ.... ฉันเดาว่า ใช่ก็ส่ายหน้า ไม่ใช่ก็ส่ายหน้า ถือเอาคำพูดเป็นหลักแล้วกัน ไม่ว่า จะ yes หรือ no ไม่ต้องดูที่หน้า...เพราะจะงงเปล่า ๆ ) ฉันก็ทำเสียงดุ ๆ ใส่ เพราะเริ่มเรียนรู้ว่าคนที่นี่เขาจะกลัวคนที่เอาจริง เขาก็เลยอ้อมแอ้มบอกว่า อีก 50 รูปี น่ะแล้วแต่ฉันจะกรุณา....เลยต้องทิปไป




       พี่เคยเล่าให้ฟังว่า เนื่องจากประเทศนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอยู่มาก คนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมาก ทำให้มีขอทานเยอะแยะมากมาย หากเราให้เงินไปคนนึง ก็จะมีคนอื่น ๆ เข้ามาขอไม่รู้จบ เพราะฉะนั้นให้ตัดปัญหาโดยการไม่ให้ไปเลย บังเอิญทริปนั้นมีฝรั่งไปด้วย เขาเป็นคนใจดีมีเมตตา พอเห็นก็สงสารให้เศษสตางค์ไป.... เท่านั้นแหละ....กรูเกรียวกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง เล่นเอาฝรั่งตกใจต้องวิ่งเข้ามาหา ร้อง help me....help me.....มีพวกขอทานไล่หลัง มาเจอพี่ดิฉัน ตวาดแหว วงแตกกระเจิง....เธอเล่าว่า....คนที่นี่สอนเธอไว้ว่าหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้ตวาดเสียงดัง ๆ เข้าไว้ พวกนี้จะกลัวคน เธอบอกว่าไม่อยากจะทำแบบนี้หรอกเพราะดูไม่เป็นนางเอกเลย...แต่มันจำเป็นจริง ๆ นะ...

       อีกเรื่องหนึ่งที่เธอเคยเล่าให้ฟังก็คือ เมื่อเธอเดินทางมาที่นี่ใหม่ ๆ ผู้คนยังจนและล้าหลังกว่าตอนนี้อีก เธอก็นั่งรถไป ระหว่างทาง....รถติด.... เธอก็เห็นผู้ชายคนนึงยืนหัวกระเซิงอยู่ เลยมองดูด้วยความสนใจ เพราะผมเขาดูเรืองแสงแปลกดี เธอก็เพ่งมอง ซักพักมีลมพัดแรง ๆ ผมผู้ชายคนนั้นก็เปิดออก มีแมลงวันหัวเขียวเป็นร้อย ๆ ตัวบินวนอยู่รอบหัว...น่าทึ่งที่สุด.....และตลอดทางก็จะเห็นคนนั่งถ่ายทุกข์ข้าง ๆ ถนน เป็นระยะ ๆ ....ฉันเองก็เห็นเหมือนกันในทริปนี้... แต่ไม่มากนัก

      ถึงอย่างไรก็ตาม...ประเทศนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ได้รับอารยธรรมบางอย่างมา เช่นทุกคนจะต้องดื่มชาแบบผู้ดีอังกฤษทั้ง เช้า สาย บ่าย เย็น เป็นประเพณีไปเลย....

       ส่วนตามท้องถนนดูจะเหมือนเมืองไทย สองข้างทางเต็มไปด้วยรถเข็นและหาบเร่ มีขนมที่ฉันชอบทอดขายอยู่ด้วย เรียกว่า "ซาโมซา" (ภาษาฮินดีเรียกว่า Samosa) หน้าตาคล้าย ๆ กระหรี่ปั๊บบ้านเรา แต่อร่อยกว่า มีกลิ่นเครื่องเทศหอม ๆ แต่ไม่ฉุน แป้งที่ทอดกรอบกำลังดี เวลาเคี้ยวนุ่มลิ้นอร่อยมาก

        ประเทศอินเดียมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้ไปเที่ยวอีกมาก ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติยังมีอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชร พลอย เครื่องเงิน เครื่งทอง ผ้า ผ้าไหม พรม หรือผ้าห่ม ต่าง ๆ ที่สวยงาม ฉันเคยเห็นผ้าห่มที่ทำด้วยมือ ที่เพื่อนพี่ที่เป็นชาวอินเดียซื้อมาฝาก เหมือนกันเปี๊ยบนำมาขายที่เมืองไทยราคาผืนหนึ่งเหยียบหมื่นทีเดียว แต่หากซื้อที่นั่นราคาประมาณ 3 พันกว่าบาท ซึ่งก็ถือว่าราคาสูงพอควร นั่นเป็นเพราะว่าผ้าห่มนี้เย็บและปักด้วยมือนั่นเอง....

         นอกจากนี้เครื่องเทศของเขาก็มีมากมาย หลายหลาก เพราะอาหารส่วนใหญ่ใช้เครื่องเทศแทบทั้งนั้น ชา กาแฟ ของเขาก็มีรสชาดดี

        ฉันมองกลับอีกมุมหนึ่งก็เห็นส่วนที่เด่นที่สุดของเขาคือ การแต่งกาย เขาสามารถอนุรักษ์ให้คนในประเทศแต่งกายแบบดั้งเดิมไว้ได้เหนียวแน่นจนถึงบัดนี้ ส่าหรี่ของเขายังนำออกขายให้ประเทศแถบตะวันตก นำเงินตรากลับเข้าประเทศได้มากมาย.... ในเรื่องของภาพยนตร์ คนที่นั่นบอกว่า หนังของเขาต้องมีร้องเพลงทุกเรื่อง ไอ้ที่เราขำ ๆ ว่าร้องเพลงวิ่งไป วิ่งมา น่ะแหละ...จำเป็นมาก เพราะเป็นรสนิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่มีร้องเพลง วิ่งไป วิ่งมา เจ๊งแน่นอน....ดาราของเขาดังและร่ำรวยมาก...ก็พลเมืองทั้งประเทศมากมายมหาศาล...ดาราก็ถูกผูกขาด ดังเด่นอยู่ไม่กี่คน...จะไม่รวยได้ยังไง....

          เหตุการณ์ที่ฉันเล่า...ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว...ทราบมาว่าปัจจุบันพ่อค้าต่างชาติดูจะเริ่มเจาะตลาดในประเทศนี้ได้สำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่ชาวอินเดียเห่อมาก ๆ คือโทรศัพท์มือถือ (ก็คงเหมือนบ้านเราตอนเข้ามาในยุคแรก ๆ)...

          ขณะนี้...พ่อแม่ชาวอินเดียเริ่มวิตกกังวล กับพฤติกรรมของบุตรหลานอยู่ เนื่องจากมีอารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าไปมาก มีเคเบิ้ลทีวี ซึ่งมาพร้อมกับหนัง และรายการต่าง ๆ โดยเฉพาะรายการ MTV เด็ก ๆ ที่นั่นชอบมาก แต่งกายและมีพฤติกรรมเลียนแบบ ดารา นักร้อง ชาวอังกฤษ อเมริกัน การพูดจาก็พูดคำ สบถคำ เลียนแบบเด็กอเมริกันในหนัง ไม่รู้จะรักษาขนบธรรมเนียมเดิม ๆ ได้อีกต่อไปหรือไม่ เป็นที่น่ากลุ้มใจอยู่ไม่น้อย...

        เมืองไทยของเราก็ไม่น้อยหน้า รับเอามาเต็ม ๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปกครองแล้วละ...คงต้องช่วยกันดูแลบุตรหลาน ทางภาครัฐฯ ก็สนใจเร่งกวดขันในเรื่องเหล่านี้อยู่...หากไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ...ประเทศเราก็จะถูกกลืนกินไปกับวัฒนธรรมใหม่แน่นอน...

       อย่างไรก็ตาม เมืองไทยนี่แหละน่าอยู่ที่สุด...เราเองมีศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี อันดีงาม และน่าภาคภูมิใจมาก

       คนดี...มีมากกว่าคนไม่ดี....

         แต่...เราจะพัฒนาประเทศอย่างไร ? ที่จะทำให้เยาวชนของเรามีคุณภาพของความเป็นไทย... พร้อมกับก้าวตามโลกได้ทัน....ไม่ง่ายนักในยุคที่โลก...เล็กลง....แบบนี้...แต่คงไม่เกินความสามารถ... หากเราช่วยกันปลูกฝังประเพณี และวัฒนธรรมไทย เริ่มตั้งแต่ที่บ้านต้องช่วยกันฝึกให้ลูกหลานมีสัมมาคารวะ ไปลา มาไหว้ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ รู้จักกาละเทศะแบบที่บรรพบุรุษพร่ำสอนกันมาหลายชั่วคน...ขณะเดียวกันก็เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากภายนอก...เลือกเอาเฉพาะสิ่งดี ๆ มาใช้ พร้อม ๆ กับรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และอารยธรรมอันเก่าแก่แต่มีคุณค่าของเราไว้ให้คงอยู่ตลอดไป...





www.thaibone.com



-- Edited by Bollywood2Thai at 08:38, 2005-03-29

-- Edited by Bollywood2Thai at 17:26, 2005-03-29

-- Edited by Bollywood2Thai at 09:01, 2005-04-10

__________________


Member

Status: Offline
Posts: 19
Date:
Permalink   

ชอบกิน Kabab กับ ซาโมวา เหมือนกันเลยค่ะ แต่ไม่ทานเผ็ดเท่าไร ซอสสีเขียวเลยไม่ค่อยใส่ ใส่ซอสหวานสีแดง จะอร่อยกว่า กินวาโมซา กับจิบชาไปด้วย มีความสุขจริงๆ aww

pyari_nanzy@hotmail.com



__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.

Tweet this page Post to Digg Post to Del.icio.us


Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard