ไปเยือนเมืองแขก
....ฉันก็บอกว่ากินแบบนี้ก็อร่อยดี ฉันชอบกินแบบแห้ง ๆ ...แต่เขาก็คงรู้ทันฉันน่ะแหละ.....เพราะเหลือบตามาทีไร ฉันก็กินอยู่ 2 อย่างเท่านั้น....ความจริงอาหารโปรดอีกอย่างของฉันคือ ชิกกาบับ (ภาษาฮินดีเรียกว่า Shish Kabab) เขาเอาเนื้อแกะมาบดผสมกับเครื่องเทศ แล้วทำเป็นแท่ง ๆ ปิ้งหรือทอดก็อร่อย แต่เจ้าที่อร่อยที่สุดอยู่ที่กรุงนิวเดลลี ถึงขนาดต้องสั่งจองกันเลย ฉันเคยได้ลิ้มลองมาแล้ว อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกิน Kabab มาเลยในชีวิตนี้.... วันรุ่งขึ้นเราต้องไปบังกะลอร์ (Bangalore) เกือบจะตกเครื่องบิน เพราะรถเจ้ากรรมติดกระหน่ำ ยิ่งกว่าบ้านเราซะอีก พอถึงบังกะลอร์ ฉันก็พบว่าเมืองนี้น่าอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั่วทั้งเมือง ดูเขียว ๆ ร่มรื่นดี อากาศก็เย็นกำลังดี... มีคนบอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองพักผ่อน และท่องเที่ยว...สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ของเมืองนี้เป็นแบบอังกฤษ แต่น่าเสียดายที่บ้านเมืองเค้าไม่ค่อยรักษาความสะอาด ทำให้ไม่สวยสะดุดตาเท่าที่ควร เรามาเมืองนี้เพื่อร่วมงานเลี้ยง...ซึ่งจะมีนักธุรกิจใหญ่ ๆ มารวมตัวกันครบ เป็นงานที่จัดได้ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว มีเวทีการแสดงคล้ายเวทีคอนเสิร์ต แล้วมี Cat walk ยาวฉีกออกมาด้านหน้า แสดงว่าต้องมีแฟชั่นโชว์แน่นอน.... เห็นแล้วทึ่งไม่เบา ถ้าจะมีแสง สี เสียง ตระการตา และเป็นไปตามคาด... หลังจากงานเลี้ยงค็อกเท็ลเริ่มไปได้ประมาณ 45 นาที เป็นช่วงเวลาที่แขกเริ่มสนุกสนานได้ที่ เพราะเริ่มแก่ดีกรีกันแล้ว (งานนี้เครื่องดื่ม และอาหาร จัดไว้มากมายแบบไม่อั้น) พิธีกรบนเวทีก็เริ่มส่งเสียงให้ทราบว่ารายการต่อไปจะมีการเดินแบบของนางแบบชั้นแนวหน้าจาก กรุงนิวเดลลี สิ้นเสียงพิธีกร... เพลงเริ่มเปิดเร่งจังหวะคึกคัก... นางแบบชาวภารตะคนแรกเดินออกมา ทำเอาฉันยืนตะลึง จังงังไปเลย... พวกเธอเดินโยกย้าย ส่ายสะโพก พร้อมโพสท่าอย่างมั่นใจ ดูเป็นมืออาชีพจริง ๆ....นางแบบของเขาสวยสง่าไม่แพ้สาวปาริเซียนเลย.....แต่แปลกจัง ฉันไม่ยักเห็นผู้ชายหล่อ ๆ ในเมืองนี้สักคน.... เมืองสุดท้ายที่ฉันต้องไปเยือนคือ โกลกัตตา (Kolkatta) ชื่อเดิมคือ กัลกัตตา (Caucutta) เมืองนี้มีสิ่งหนึ่งที่ประทับใจไม่รู้ลืม....นั่นคือการขับรถ....ฟังแล้วมันธรรมด๊า ธรรมดา มาก... ก็แค่ขับรถ...แต่ที่เมืองนี้ไม่ธรรมดาเลย...หากคุณจะนั่งรถที่นี่ให้มีความสุข...สิ่งที่ควรเตรียมไปคือ soundabout เปิดให้ดัง ๆ แล้วลืมโลกภายนอกไปเลย...เพราะตั้งแต่รถออกไปตามถนน สิ่งที่ได้ยินทุก ๆ วินาทีคือเสียงแตรรถ....บีบกันดังลั่นไปทั้งถนน ฉันสังเกตว่าหูช้างของรถทุกคันมันถูกหุบ (จริง ๆ แล้วฉันเห็นเขาหุบหูช้างกันเป็นส่วนใหญ่ในทุกเมือง) ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือเก่า (ที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้รถหรูหรา นาน ๆ จะมีให้เห็นสักคัน เพราะภาษีสูงมาก คนที่ใช้รถเบนซ์ได้ต้องรวยจริง ๆ เขาบอกว่าฮอนด้า แอคคอร์ด ก็หรูสุดแล้ว) วิธีการขับก็คือ ทุกคันจะขับตรงไปข้างหน้าแบบเข้าหากัน ดูน่าหวาดเสียวว่าจะต้องชนแน่ ๆ แต่ไม่ชนนะ...ขอบอก...พอถึงจุดรวมตัวก็จะแยกออกจากกัน (ฉันเรียกในใจว่า จุด peak สุด) ขับกันแบบนี้ทุก ๆ แยก...
นอกจากนี้แล้ว...จะตะโกนด่ากันเป็นระยะ...มีอยู่ช่วงหนึ่งรถติดนานมาก...พอออกตัวได้ทุกคันก็ขับแบบที่เล่ามาข้างต้น...แล้วก็แย่งทางกันอุตลุด... มีรถสองคันหยุดกึก แล้วลงมาด่ากัน... ทำท่า ทำทางเหมือนจะชกกัน... ฉันลุ้นว่าชกกันแหง ๆ แต่สุดท้าย...พอด่ากันพอหอมปากหอมคอ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันขึ้นรถขับต่อไป... พี่บอกว่า..."ไม่ต้องตื่นเต้น เขาเป็นกันแบบนี้แหละ เมื่อสมัยมาที่นี่ใหม่ ๆ ตอนแรก ๆ ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่เพื่อนชาวอินเดียบอกว่าไม่มีวันชกกันหรอก มันเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่" ...ก็เห็นจะจริงนะ...เพราะฉันก็เห็นกับตาเช่นกัน....เฮ้อ...แปลกแต่จริง... อยู่ในรถตลอดเวลานั้น... ในหูของฉันมีแต่เสียงด่า และเสียงแตรรถดังแปร๋ แปร๋น ก้องอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีของแถม คือฝนเริ่มตกปรอย ๆ รถที่นั่งก็ไม่มีแอร์ เพราะวันนี้ค่อนข้างฉุกละหุกเราต้องเรียกรถแท็กซี่ ซึ่งเป็นรถสีดำคันเล็ก ๆ ฉันเริ่มได้กลิ่นตุ ๆ มาจากด้านหน้า เราหันมามองหน้ากัน พี่สาวฉันเริ่มควานหายาดม แล้วยัดเข้าจมูกทันที ส่วนฉันไม่เคยพก ก็ต้องเอามือปิดจมูกไป ทนไม่ได้ก็ขอมาดมทีนึง เราก็จะผลัดกันดมยาดมและหัวเราะกันไปตลอดทาง กว่าจะถึงที่หมายก็แทบจะลมใส่เลยทีเดียว พอรถจอดเจ้าโชว์เฟอร์ตัวดีเริ่มเกเร เราตกลงกันว่าค่ารถ 200 รูปี แต่พี่แกบอกฉันว่า 250 รูปี ฉันเลยทบทวนความจำเขาหน่อย ว่าเราตกลงกันราคาเท่านี้ไม่ใช่หรือ ? เขาก็ตอบว่า ใช่ แต่ส่ายหน้าไปมา (เอาละ.... ฉันเดาว่า ใช่ก็ส่ายหน้า ไม่ใช่ก็ส่ายหน้า ถือเอาคำพูดเป็นหลักแล้วกัน ไม่ว่า จะ yes หรือ no ไม่ต้องดูที่หน้า...เพราะจะงงเปล่า ๆ ) ฉันก็ทำเสียงดุ ๆ ใส่ เพราะเริ่มเรียนรู้ว่าคนที่นี่เขาจะกลัวคนที่เอาจริง เขาก็เลยอ้อมแอ้มบอกว่า อีก 50 รูปี น่ะแล้วแต่ฉันจะกรุณา....เลยต้องทิปไป
พี่เคยเล่าให้ฟังว่า เนื่องจากประเทศนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอยู่มาก คนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมาก ทำให้มีขอทานเยอะแยะมากมาย หากเราให้เงินไปคนนึง ก็จะมีคนอื่น ๆ เข้ามาขอไม่รู้จบ เพราะฉะนั้นให้ตัดปัญหาโดยการไม่ให้ไปเลย บังเอิญทริปนั้นมีฝรั่งไปด้วย เขาเป็นคนใจดีมีเมตตา พอเห็นก็สงสารให้เศษสตางค์ไป.... เท่านั้นแหละ....กรูเกรียวกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง เล่นเอาฝรั่งตกใจต้องวิ่งเข้ามาหา ร้อง help me....help me.....มีพวกขอทานไล่หลัง มาเจอพี่ดิฉัน ตวาดแหว วงแตกกระเจิง....เธอเล่าว่า....คนที่นี่สอนเธอไว้ว่าหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ ให้ตวาดเสียงดัง ๆ เข้าไว้ พวกนี้จะกลัวคน เธอบอกว่าไม่อยากจะทำแบบนี้หรอกเพราะดูไม่เป็นนางเอกเลย...แต่มันจำเป็นจริง ๆ นะ... อีกเรื่องหนึ่งที่เธอเคยเล่าให้ฟังก็คือ เมื่อเธอเดินทางมาที่นี่ใหม่ ๆ ผู้คนยังจนและล้าหลังกว่าตอนนี้อีก เธอก็นั่งรถไป ระหว่างทาง....รถติด.... เธอก็เห็นผู้ชายคนนึงยืนหัวกระเซิงอยู่ เลยมองดูด้วยความสนใจ เพราะผมเขาดูเรืองแสงแปลกดี เธอก็เพ่งมอง ซักพักมีลมพัดแรง ๆ ผมผู้ชายคนนั้นก็เปิดออก มีแมลงวันหัวเขียวเป็นร้อย ๆ ตัวบินวนอยู่รอบหัว...น่าทึ่งที่สุด.....และตลอดทางก็จะเห็นคนนั่งถ่ายทุกข์ข้าง ๆ ถนน เป็นระยะ ๆ ....ฉันเองก็เห็นเหมือนกันในทริปนี้... แต่ไม่มากนัก ถึงอย่างไรก็ตาม...ประเทศนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ได้รับอารยธรรมบางอย่างมา เช่นทุกคนจะต้องดื่มชาแบบผู้ดีอังกฤษทั้ง เช้า สาย บ่าย เย็น เป็นประเพณีไปเลย.... ส่วนตามท้องถนนดูจะเหมือนเมืองไทย สองข้างทางเต็มไปด้วยรถเข็นและหาบเร่ มีขนมที่ฉันชอบทอดขายอยู่ด้วย เรียกว่า "ซาโมซา" (ภาษาฮินดีเรียกว่า Samosa) หน้าตาคล้าย ๆ กระหรี่ปั๊บบ้านเรา แต่อร่อยกว่า มีกลิ่นเครื่องเทศหอม ๆ แต่ไม่ฉุน แป้งที่ทอดกรอบกำลังดี เวลาเคี้ยวนุ่มลิ้นอร่อยมาก ประเทศอินเดียมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้ไปเที่ยวอีกมาก ป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติยังมีอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชร พลอย เครื่องเงิน เครื่งทอง ผ้า ผ้าไหม พรม หรือผ้าห่ม ต่าง ๆ ที่สวยงาม ฉันเคยเห็นผ้าห่มที่ทำด้วยมือ ที่เพื่อนพี่ที่เป็นชาวอินเดียซื้อมาฝาก เหมือนกันเปี๊ยบนำมาขายที่เมืองไทยราคาผืนหนึ่งเหยียบหมื่นทีเดียว แต่หากซื้อที่นั่นราคาประมาณ 3 พันกว่าบาท ซึ่งก็ถือว่าราคาสูงพอควร นั่นเป็นเพราะว่าผ้าห่มนี้เย็บและปักด้วยมือนั่นเอง.... นอกจากนี้เครื่องเทศของเขาก็มีมากมาย หลายหลาก เพราะอาหารส่วนใหญ่ใช้เครื่องเทศแทบทั้งนั้น ชา กาแฟ ของเขาก็มีรสชาดดี ฉันมองกลับอีกมุมหนึ่งก็เห็นส่วนที่เด่นที่สุดของเขาคือ การแต่งกาย เขาสามารถอนุรักษ์ให้คนในประเทศแต่งกายแบบดั้งเดิมไว้ได้เหนียวแน่นจนถึงบัดนี้ ส่าหรี่ของเขายังนำออกขายให้ประเทศแถบตะวันตก นำเงินตรากลับเข้าประเทศได้มากมาย.... ในเรื่องของภาพยนตร์ คนที่นั่นบอกว่า หนังของเขาต้องมีร้องเพลงทุกเรื่อง ไอ้ที่เราขำ ๆ ว่าร้องเพลงวิ่งไป วิ่งมา น่ะแหละ...จำเป็นมาก เพราะเป็นรสนิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่มีร้องเพลง วิ่งไป วิ่งมา เจ๊งแน่นอน....ดาราของเขาดังและร่ำรวยมาก...ก็พลเมืองทั้งประเทศมากมายมหาศาล...ดาราก็ถูกผูกขาด ดังเด่นอยู่ไม่กี่คน...จะไม่รวยได้ยังไง.... เหตุการณ์ที่ฉันเล่า...ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว...ทราบมาว่าปัจจุบันพ่อค้าต่างชาติดูจะเริ่มเจาะตลาดในประเทศนี้ได้สำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่ชาวอินเดียเห่อมาก ๆ คือโทรศัพท์มือถือ (ก็คงเหมือนบ้านเราตอนเข้ามาในยุคแรก ๆ)... ขณะนี้...พ่อแม่ชาวอินเดียเริ่มวิตกกังวล กับพฤติกรรมของบุตรหลานอยู่ เนื่องจากมีอารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าไปมาก มีเคเบิ้ลทีวี ซึ่งมาพร้อมกับหนัง และรายการต่าง ๆ โดยเฉพาะรายการ MTV เด็ก ๆ ที่นั่นชอบมาก แต่งกายและมีพฤติกรรมเลียนแบบ ดารา นักร้อง ชาวอังกฤษ อเมริกัน การพูดจาก็พูดคำ สบถคำ เลียนแบบเด็กอเมริกันในหนัง ไม่รู้จะรักษาขนบธรรมเนียมเดิม ๆ ได้อีกต่อไปหรือไม่ เป็นที่น่ากลุ้มใจอยู่ไม่น้อย... เมืองไทยของเราก็ไม่น้อยหน้า รับเอามาเต็ม ๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ปกครองแล้วละ...คงต้องช่วยกันดูแลบุตรหลาน ทางภาครัฐฯ ก็สนใจเร่งกวดขันในเรื่องเหล่านี้อยู่...หากไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ...ประเทศเราก็จะถูกกลืนกินไปกับวัฒนธรรมใหม่แน่นอน... อย่างไรก็ตาม เมืองไทยนี่แหละน่าอยู่ที่สุด...เราเองมีศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี อันดีงาม และน่าภาคภูมิใจมาก คนดี...มีมากกว่าคนไม่ดี.... แต่...เราจะพัฒนาประเทศอย่างไร ? ที่จะทำให้เยาวชนของเรามีคุณภาพของความเป็นไทย... พร้อมกับก้าวตามโลกได้ทัน....ไม่ง่ายนักในยุคที่โลก...เล็กลง....แบบนี้...แต่คงไม่เกินความสามารถ... หากเราช่วยกันปลูกฝังประเพณี และวัฒนธรรมไทย เริ่มตั้งแต่ที่บ้านต้องช่วยกันฝึกให้ลูกหลานมีสัมมาคารวะ ไปลา มาไหว้ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ รู้จักกาละเทศะแบบที่บรรพบุรุษพร่ำสอนกันมาหลายชั่วคน...ขณะเดียวกันก็เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากภายนอก...เลือกเอาเฉพาะสิ่งดี ๆ มาใช้ พร้อม ๆ กับรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และอารยธรรมอันเก่าแก่แต่มีคุณค่าของเราไว้ให้คงอยู่ตลอดไป...
www.thaibone.com
ชอบกิน Kabab กับ ซาโมวา เหมือนกันเลยค่ะ แต่ไม่ทานเผ็ดเท่าไร ซอสสีเขียวเลยไม่ค่อยใส่ ใส่ซอสหวานสีแดง จะอร่อยกว่า กินวาโมซา กับจิบชาไปด้วย มีความสุขจริงๆ pyari_nanzy@hotmail.com