Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: อินเดีย!! ที่(ไม่)อยากไป


Senior Member

Status: Offline
Posts: 379
Date:
อินเดีย!! ที่(ไม่)อยากไป
Permalink   


อินเดีย!! ที่(ไม่)อยากไป
สกุณา ประยูรศุข
มติชน
ฉบับวันที่ 09/05/47



         
เคยนึกตั้งคำถามในใจเล่นๆ ว่า ระหว่าง "ทัช มาฮาล" อนุสรณ์สถานแห่งความรักระบือโลก กับ "นครวัด" ที่กัมพูชา ซึ่งต่างก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ต้อง "ไปดูก่อนตาย" นั้น อยากจะไปที่ไหนก่อนกัน
        ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ก็มีอันต้องได้เดินทางไป "อินเดีย" เสียก่อนแล้ว ดูเหมือนพระเจ้าจะเข้าข้าง "โรตีแขก" มากกว่าจะให้ไปกิน "ปลากรอบ" เมืองเขมร
       ที่ต้องไปเมืองแขกก่อนไปเมืองเขมร เพราะสายการบิน "อินเดี้ยน แอร์ไลน์" สำนักงานการท่องเที่ยวอินเดีย และสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย มีงาน "Travel Mart" ในชื่อ "SATTE 2004" จัดขึ้นที่เมืองเดลลี ประเทศอินเดียโน่น
         ในฐานะแขกรับเชิญ คำตอบที่ไม่ได้ตั้งใจจึงไปลงที่ "ทัช มาฮาล"
           ...ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ แล้ง ร้อน สีน้ำตาล และหลังคาบ้านเรือนที่รายเรียงแออัดยัดเยียด มองเห็นลิบๆ จากเครื่องบิน ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลังจากเดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองได้เพียงสามชั่วโมงเศษ ต้องหวนกลับไปตั้งต้นในใจอีกครั้ง 



        "เคยนึกอยากมาอินเดียหรือเปล่าหว่า?"



     ที่ผ่านมารู้จักประเทศอินเดียก็แค่ผ่านทางหน้าหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ วิชาอารยธรรมตะวันออก และประวัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น
         หากเป็นภาพยนตร์อินเดียก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง อย่างน้อยพระเอกอินเดียในดวงใจก็มีชื่อ "ราเยส คานนา" และ "เฮม่า มาลินี" นางเอกตาโต ดำขลับ สองคู่พระคู่นางสำหรับคนไทย และยังจำได้ไม่ลืมเลือนกับภาพลีลาร้องเพลงของพระเอก-นางเอก ที่วิ่งไปร้องไปจนคนดูหอบแฮ่กๆ แทน
        แต่กับการเดินทางครั้งนี้ที่เท้าแตะสัมผัสกับ "แผ่นดินอินเดีย" ของจริง ต่างกันลิบลับกับจินตนาการผ่านหน้าหนังสือเรียน ซึ่งคงจะเป็นจริงกับคำกล่าวของผู้รู้ที่ว่าไว้ "อ่านหนังสือร้อยเล่ม ไม่เท่าดูด้วยตาครั้งเดียว"
        ที่ตั้งของ "ทัช มาฮาล" (Taj Mahal) หรือที่คนอินเดียเรียกสั้นๆ "ตาส" อยู่ในเมืองอัครา รัฐอุตตรประเทศ ทางทิศตะวันตกของประเทศ ห่างจากกรุงเดลลี เมืองหลวงประมาณ 300 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง หากต้องนั่งรถยนต์ไป
       ปกติการเดินทางไปอัครามีสายการบิน-บินตรงได้เลย แต่เมื่อมี "งาน" ที่เดลลี จึงต้องตั้งหลักที่นี่ก่อน-ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองอนุสรณ์แห่งความรัก สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ระยะเวลาที่เหลืออยู่ในเดลลีหนึ่งวัน จึงถือโอกาสตักตวงความสนุกเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการชมเมืองหลวงของอินเดียไปพลางๆ
         "เดลลี" เมืองหลวงของชาวภารตะ วุ่นวายชุลมุนไม่แพ้เมืองหลวงของที่อื่น เผลอๆ อาจวุ่นวายมากกว่าด้วยซ้ำ ทั้งรถราขวักไขว่ พ่นควันฟุ้งกระจาย และผู้คนละลานตา หากใครเผลอไปสอบถามเส้นทางหรือสถานที่ที่ไปไม่ถูกเข้า พี่แขกจะชูไม้ชูมือเจรจาพยักหน้าหงึกหงัก ยักคอซ้ายทีขวาที อธิบายหลายสิบนาทีก็ยังไม่เข้าใจกัน
เพราะเขาว่า-และดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงเสียด้วย ที่ว่าแขกพยักหน้าหงึกๆ นั้นแปลว่า "ไม่รู้" ส่วนที่ส่ายหน้าไปมานั้นเขาว่า "อีนี่...ฉานรู้นะนายจ๋า..." 



         ความวุ่นวายอีกส่วนหนึ่งมาจากเสียงแตรรถที่ "แปร๊นๆ แปร๊นๆ" อยู่ตลอดเวลา นับเป็นเสียงกวนประสาทได้เป็นอย่างดีสำหรับคนที่ไม่ชินอย่างเราๆ
         ใครไปเมืองแขกอย่าได้แปลกใจที่หลังรถแทบทุกคันจะเขียน "Horn Please" เตือนให้รู้ว่ารถคันไหนจะแซงซ้ายแซงขวา ขับเร็วขับช้าได้ทั้งนั้น ขอให้บีบแตรให้รู้เสียก่อน การใช้แตรจึงถือเป็นสิทธิอันชอบธรรม ใครจะโมโหโกรธา ชี้หน้าท้าตีท้าต่อยไม่ได้
        เมืองเดลลีทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ตัวเมืองขยายออกเป็นสองส่วน "นิวเดลลี" และ "โอลด์เดลลี" สำหรับนิวเดลลีนั้นเมื่อความเจริญไล่หลังมาติดๆ ความไม่เจริญก็ถอยร่นออกนอกเมืองไปเรื่อย ดังนั้น ใจกลางเมืองหลวงจึงไม่เห็นภาพขอทาน ขี้วัว แมลงวัน หรือคนเร่ร่อนจรจัดอย่างที่เคยมีมา มองไปทางไหนมีแต่ตึกรามบ้านช่อง และอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ผุดขึ้นเต็มไปหมดในถนนแทบทุกสาย ส่วนโอลด์เดลลียังคงสภาพอินเดียเมื่อยี่สิบปีก่อน คนจรจัด ขอทานยังมีอยู่เต็ม รวมถึงความสะอาดของบ้านเรือนยังไม่พัฒนาไปถึงไหน
        ข้างถนน สี่แยกไฟแดง หากเห็นเด็กตัวเล็กมอมแมมทั้งหญิงและชายเดินถือหม้ออวยใบเล็กๆ ใส่กำยานเผามีควันฟุ้ง พร้อมดอกดาวเรืองสีเหลืองดอกโตประดับ นั่นแหละ "ขอทาน" ของอินเดียละ คนเหล่านี้จะอยู่ที่โอลด์เดลลีเป็นส่วนใหญ่
        เมื่อแรกที่ไม่รู้ สอบถามไกด์หนุ่มที่ไปด้วยว่า "เขาขายอะไร?" เสียงตอบกลับมาเรียบสนิท "ขายพระเจ้า" ยังไม่ทันจะอ้าปากถามต่อ ไกด์คนเดิมอธิบายรัวเร็ว
       "ก็คุณถามว่าเขาขายอะไร ผมก็ตอบแบบนี้ เพราะในหม้อที่คุณเห็นนั้นเขาใส่กำยานสวดอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อขอให้พระเจ้าประทานพร หรือดลใจคนที่เขาไปขอเงินได้ให้เงินกับเขา เข้าข่ายขายพระเจ้า ถูกไหม?"
ไม่มีเสียงตอบรับ เพราะไม่มีอะไรดีกว่าปิดปากให้สนิทแล้วดูสองข้างทางต่อไปเรื่อยๆ



       จากเขตโอลด์เดลลี เข้าไปในเขตนิวเดลลี อาจไม่มีอะไรน่าเที่ยว ซึ่งก็เหมือนกับเมืองหลวงทั่วไปที่เป็นศูนย์ราชการ ห้างสรรพสินค้า มากกว่าอย่างอื่น ถึงกระนั้นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมากๆ ของอินเดียกลับกลายเป็นความตื่นตาตื่นใจได้ง่ายๆเหมือนกัน เช่น Rashtrapati Bhavan ที่ตั้งรัฐสภาของอินเดีย ถือเป็นถนนสายกว้างใหญ่มาก และสะอาดสะอ้านที่สุดในนิวเดลลี ทำเนียบนายกรัฐมนตรีก็อยู่ในบริเวณนี้ ทางเข้าทำเนียบรัฐบาลมีทหารถือปืนยืนเฝ้าเหมือนของอังกฤษ
        ตรงข้ามมองไปอีกฝั่งตามความยาวของถนนเป็น "อินเดีย เกต" (India Gate) สูงเด่นเป็นสง่าคล้ายประตูชัยในประเทศฝรั่งเศส ประตูแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ที่อินเดียเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 กับรัฐบาลอังกฤษ หากเข้าไปมองดูใกล้ๆ ตามผนังกำแพงของประตูแห่งนี้จะมีรายชื่อทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนั้นแล้วเสียชีวิตสลักไว้เต็มไปหมด ราว 90,000 คน
       ย่านใกล้ๆ อินเดีย เกต มีรถรับจ้างจอดเรียงรายเป็นแถว เรียกว่า "ออร์โตริกชอว์" เป็นรถตุ๊กตุ๊กเมืองแขก ลักษณะคล้ายรถตุ๊กตุ๊กบ้านเรา แต่ใช้สีเขียวเหลือง ราคาค่าบริการคิดตามมิเตอร์ ซึ่งบางคันติดมิเตอร์ แต่บางคันก็ไม่ติดแล้วแต่จะต่อรองตกลงกัน
        ถัดไปอีกฟากหนึ่งของเมือง มีสุสาน Safdarjung ตั้งอยู่ในสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีทางน้ำไหลผ่านตัดไขว้กัน สุสานแห่งนี้สร้างให้กับเสนาบดีของจักรพรรดิโมฮัมเหม็ด ชาห์ เมื่อ ค.ศ.1754 (พ.ศ.2497) ด้วยฝีมือแกะสลักอันวิจิตรงดงาม รวมทั้งมีรูปแบบโดมเป็นศิลปะแบบ "มูฆัล" ทำให้สุสานแห่งนี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าชมยิ่ง
        พูดถึงสุสานแล้ว "สุสานหินดำ" ที่บรรจุศพของนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย "มหาตมะ คานธี" เจ้าตำรับการต่อสู้แบบอหิงสา ยังคงได้รับการไปเยือนของนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน การเข้าไปคารวะที่สุสานจะต้องถอดรองเท้าตั้งแต่ทางเข้าเป็นต้นไป เดิมทางเดินทำจากหินอ่อน แต่ร้อนมากจนคนแทบเดินไม่ได้ ตอนหลังเจ้าหน้าที่ต้องนำพรมยางมาปูให้



        ระยะเวลาหนึ่งวันในเดลลีอาจตบท้ายด้วยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอีกนิดหน่อย ที่รับรองดูได้ไม่ทั่วถึงในวันเดียว เพราะศิลปวัตถุและวัตถุโบราณในนั้นมีถึง 150,000 ชิ้น ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปที่น่าศึกษายิ่ง
        วันรุ่งขึ้น ออกจากเดลลีแต่เช้าตรู่ก่อนนกตื่นเสียอีก มุ่งหน้าไป "เมืองอัครา" ที่ตั้งอนุสรณ์สถานแห่งรักของกษัตริย์อินเดีย "ชาร์ จาฮาน" แห่งราชวงศ์โมกุล ที่ทรงตกหลุมรัก "มุมตัส" ลูกสาวข่าน เทียบเท่าตำแหน่งปัจจุบันก็นายกรัฐมนตรี ทรงแต่งตั้งให้เป็นมเหสีขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ.1628 (พ.ศ.2171) ทั้งคู่ครองรักกันนานถึง 19 ปี มีพระราชโอรส 8 พระองค์ และพระราชธิดาอีก 6 พระองค์ เสียชีวิตหนึ่งจึงเหลือ 13 พระองค์
เรื่องราวของชาร์ จาฮาน และพระนางมุมตัส ส่วนใหญ่จะทราบกันดีแล้ว อานุภาพของความรักเป็นเหตุให้ชาร์ จาฮาน ทรงสร้างสุสาน "ทัช มาฮาล" ขึ้นเมื่อพระนางมุมตัสสิ้นพระชนม์ เพื่อพระองค์จะได้เฝ้ามองหญิงคนรักจากพระราชวังอัคราได้ตลอดเวลา
        เรื่องราวที่น่าสนใจ คือการก่อสร้างทัช มาฮาล ทรงเลือกริมฝั่งแม่น้ำยมุนาเป็นที่ตั้ง และคัดสรรช่างฝีมือดีเลิศมาก่อสร้างถึง 20,000 คน วัสดุทุกชิ้นมาจากแหล่งที่ดีที่สุดในยุคนั้น หินอ่อนสีขาวจากชัยปุระ เทอร์ควอยซ์สีฟ้าจากทิเบต พลอยจากอียิปต์ ศิลาทรายจากประเทศรัสเซีย เสียเงินค่าก่อสร้างในสมัยนั้นหมดไป 30 ล้านรูปี ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 22 ปี
       นายช่างคุมงานชื่อ "โมฮัมหมัด อุสตัด อิซา" นั้น ไกด์เล่าให้ฟังว่า หลังจากสร้างทัช มาฮาลเสร็จแล้ว พระเจ้าชาร์ จาฮาน เกรงว่าช่างจะไปสร้างที่อื่นเลียนแบบ จึงสั่งให้ควักตา ตัดลิ้น ตัดมือช่างอิซาเสีย ส่วนพระเจ้าชาร์นั้นไม่เป็นอันทำราชการงานเมือง จนที่สุดทรงถูกพระราชโอรสจับไปขังไว้ที่ป้อมอัครา อยู่ไม่ไกลจากทัช มาฮาล พระองค์ทรงนั่งมองทัช มาฮาล จากป้อมจนกระทั่งวาระสุดท้ายที่ทรงสิ้นพระชนม์ในอ้อมแขนของพระราชธิดา
พระศพของกษัตริย์ชาร์ จาฮาน ถูกนำลงเรือล่องตามแม่น้ำไปฝังเคียงข้างกับพระมเหสีอันเป็นที่รักที่ทัช มาฮาล เพื่อเคียงคู่กันตลอดไป ความจริงแล้วก่อนหน้าจะสิ้นพระชนม์ ทรงตั้งใจว่าจะสร้างสุสานของพระองค์เอง เป็นหินอ่อนสีดำ อยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำยมุนา เพื่อเคียงคู่กับทัช มาฮาล แต่ก็เป็นได้แค่ความตั้งใจ



        เพียงประตูทางเข้าทัช มาฮาลก็ตะลึงแล้ว โดมที่อยู่บนยอด คือจำนวนของพระราชโอรส และพระราชธิดาของชาร์ จาฮาน ผ่านประตูเข้าไปแสงจากหินอ่อนสีขาวส่องประกายจ้าจนแสบตา รูปทรงคุ้นตาจากยอดถึงฐานสูง 200 ฟุต เฉพาะตัวอนุสรณ์สถานพื้นที่ 186 ตารางฟุต ด้านข้างประกอบด้วยหอคอย 4 ทิศ ถัดจากหอคอย ด้านข้างมีมัสยิดสำหรับสวดมนต์ไว้เฉพาะสองข้าง
ซึมซับความงามของสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกไว้เต็มตา ก่อนมุ่งหน้าต่อไปที่ ป้อมอัครา ที่ประทับของพระเจ้าชาร์ จาฮาน จนวินาทีสุดท้าย
       ลักษณะป้อมเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ตัวป้อมขนาดใหญ่ตั้งอยู่โค้งแม่น้ำยมุนาพอดี เป็นมุมที่สวยงามมาก และมองเห็นทัช มาฮาล ได้สวยที่สุด ตัวป้อมมีกำแพงใหญ่สองชั้น มีสะพานเชื่อมต่อเดินได้รอบป้อม ในอดีตภายในเป็นที่ทำการของทหารด้วย และมีเขตพระราชฐานฝ่ายหน้าสำหรับออกว่าราชการของกษัตริย์ เขตพระราชฐานฝ่ายในเป็นที่อยู่ของเหล่านางสนม เรียก "พระราชวังดอกมะลิ" ไกด์บอกว่ามีนางสนมถึง 5,000 คน
ไกด์หนุ่มแขกพาเดินวนรอบ ชี้ให้ดูร่องรอยของรูปสลักที่โดนขโมยตัดไปขาย เขาบอกว่าแต่ก่อนพวกลวดลายสลักนี้ประดับด้วยพลอยและทองคำ ทุกวันนี้ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่รอยปูนปั้นก็โดนตัดไป
เมื่อถึงหอคอยของป้อมอัครา มุมที่มองทัช มาฮาลได้สวยที่สุด ไกด์หนุ่มเปรยขึ้นว่า "ผู้หญิงอยากมีคนรักอย่างชาร์ จาฮาน อยากเป็นพระนางมุมตัสทั้งนั้น"
      "ไม่จริง! ยังมีผู้หญิงในโลกนี้อีกหลายคนที่ไม่ต้องการเป็นเช่นพระนางมุมตัส"
ฝ่ายที่เอ่ยปากถามทำหน้าฉงน "หรือคุณไม่มีความรัก"
"มีสิ แต่ความรักไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว และไม่จำเป็นต้องจบลงแบบพระนางมุมตัส คิดดูสิไปไหนก็ไม่ได้ ต้องทนอยู่ในสุสานชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ความรักควรเป็นไปอย่างพอดี เมื่อมีชีวิตอยู่ก็รักภักดี เมื่อตายไปก็ไม่กักขังหน่วงเหนี่ยว ไม่ยึดติด"
       ไม่มีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายตรงข้าม เขาอาจจะเข้าใจหรืออาจจะไม่เข้าใจ ไม่สามารถรู้ได้



      ทั้งทัช มาฮาล และป้อมอัครา สุดท้ายแล้วก็คือ อนุสรณ์ของความรักเหมือนๆ กัน นอกจากเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ว ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในใจที่เคยคิด "ไม่อยากไปอินเดีย" เปลี่ยนความรู้สึกเสียใหม่
         "คราวหน้าถ้ามีโอกาส อยากจะไปอินเดียอีกครั้ง"

-- Edited by Bollywood2Thai at 09:54, 2005-03-26



-- Edited by Bollywood2Thai at 09:56, 2005-03-26

-- Edited by Bollywood2Thai at 19:05, 2005-04-06

__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.

Tweet this page Post to Digg Post to Del.icio.us


Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard