Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: สัญลักษณ์ “โอม”


Senior Member

Status: Offline
Posts: 379
Date:
สัญลักษณ์ “โอม”
Permalink   






 


      พระตรีมูรติหรือผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนิรันดร์นั้น เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู ซึ่งจะมีตัวอักษร ๓ ตัว อันศักดิ์สิทธิ์ที่ เรียกเรียกกันว่า “โอม” อักษรศักดิ์สิทธิ์ “โอม” นั้นประกอบด้วยอักษร ๓ ตัวคือ
“อะ” หมายถึง พระวิษณุหรือพระนารายณ์
“อุ” หมายถึง พระอิศวรหรือพระศิวะ
“มะ” หมายถึง พระพรหม



พยางค์ศักดิ์สิทธิ์คำว่า “โอม” นี้ มักจะเขียนเป็นอักษรเทวนาครี ซึ่งได้บ่งบอกถึงตรีมูรติหรือ ๓ มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาฮินดู ในคัมภีร์ของพราหมณ์นั้น


กล่าวถึงพระศิวะว่าทรงเป็นมหาเทพซึ่งมีผู้นิยมนับถือบูชากันแพร่หลายและกว้างขวางมากกว่าเทพองค์อื่น ๆ กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏ เป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้ ต่อมาศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดู ได้มีการพัฒนาตัวเองขึ้นมาจากศาสนาพราหมณ์เมื่อ ๗๐๐-๑,๐๐๐ BC. เกิดมีคัมภีร์และวรรณคดีทางศาสนาขึ้นมามากมาย ปรัชญาต่าง ๆ ก็แตกแขนงออกไปมาก ซึ่งยุคของศาสนาพราหมณ์นับแต่การวิวัฒนาการดั้งเดิมนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นยุคต่างๆ ดังนี้


ยุคพระเวท ( Vedie Period - Veda Period )
          พระพรหมนั้นเกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนักที่พระเสโทหรือเหงื่อผลุดซึมทั่วพระวรกายและยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่นเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้นก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูด ๆ ที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมาและหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิงก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานชื่อให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานชื่อให้ถึง ๘ ชื่อ ด้วยกันดังนี้ ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ หลังจากนั้นเทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ในนามของพระรุทรอันเป็นชื่อ ๆหนึ่งใน ๘ ชื่อนี้ ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ แต่สำหรับชื่ออื่น ๆ อีก ๗ ชื่อนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก      ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจังทั่วไปโดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือหมายถึงการทำลายสิ่งเลวให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่ ในยุคนี้ได้มีคัมภีร์พระเวทซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิชาการว่า เป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญบางท่านได้ประมาณเวลาของพระเวทที่เก่าแก่ที่สุดเอาไว้ โดยอาศัยวิธีในการคำนวณทางดาราศาสตร์ ว่าน่าจะเริ่มมีมาตั้งแต่ ๔,๐๐๐-๒,๕๐๐ BC. แต่บางท่านก็ประมาณเวลาไว้ว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลา ๑,๔๐๐-๑,๐๐๐ BC ๒


ยุคมหากาพย์และทรรศนะทั้ง ๖
     ยุคนี้มีการประมาณช่วงเวลาน่าจะอยู่ในระหว่าง ๖๐๐-๒๐๐ BC. รวมระยะเวลาประมาณ ๘๐๐ ปี ยุคนี้นับว่าเป็นยุคที่สำคัญมาก เพราะมีพระพุทธศาสนาและศาสนาเชน เกิดขึ้นมาแข่งขันกับศาสนาพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ทางศาสนาและลัทธิต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์ แตกแขนงออกมาอีก คือ

      ๑. มหากาพย์รามายณะ มหากาพย์รามายณะนี้เป็นบทกวี มีทั้งสิ้นประมาณ ๒๔,๐๐๐ โศลก ว่าด้วยเรื่องราวของอวตารที่ ๗ แห่งองค์พระวิษณุ ( พระนารายณ์ ) ซึ่งอวตารลงมาเป็นพระราม เพื่อปราบปรามอสูรที่มีนามว่า ราวณะ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ทศกัณฐ์

      ๒. มหากาพย์มหาภารตะ เป็นบทกวีมีทั้งหมด ๒๒๐,๐๐๐ บรรทัด ว่าด้วยเรื่องราวของสงครามระหว่างกษัตริย์ เการพ ( เการวะ ) กับกษัตริย์ ปาณฑพ ( ปาณฑวะ ) ซึ่งเป็นญาติกัน ณ ทุ่งกุรุเกษตร เรื่องนี้กล่าวถึงอวตารที่ ๘ แห่งองค์พระวิษณุ ( พระนารายณ์ ) อวตารเป็นพระกฤษณะ ๖ ทำหน้าที่สารถีขับรถศึกให้แก่พระอรชุน พร้อมทั้งสอนปรัชญาและศาสนาให้กับพระอรชุน ทั้งนี้ ข้อความในบรรพที่ ๖ แห่งมหากาพย์มหาภารตะก็คือ คัมภีร์ภควัทคีตา ( บทเพลงแห่งภควัท ) และถือเป็นหัวใจแห่งมหากาพย์ภารตะ อันนับเป็นยอดของปรัชญาฮินดูในยุคที่สองนี้ ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของพระพรหมจึงเท่ากับว่าพระศิวะก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระองค์มหาเทพ

      ๓. ทรรศนะทั้ง ๖ ทรรศนะทั้ง ๖ นี้ เกิดขึ้นร่วมสมัยกับพระพุทธศาสนาและศาสนาเชน ได้แก่
๑. นยานะ ของ โคตมะ
๒.ไวเศษิกะ ของ กณาทะ
๓. สางขยะ ของ กปิละ


      ๔. โยคะ ของ ปตัญชลิ ผู้แต่งคัมภีร์ธรรมศาสตร์นี้คือท่าน มนุ เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติของชาวฮินดู มีการวางแนวในการครองชีวิตไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น การแบ่งชั้นวรรณะ เป็นต้น นอกจากนี้ในยุคมหากาพย์และทรรศนะทั้ง ๖ ยังได้มีลัทธิอื่นเกิดขึ้นอีกในตอนปลายของยุค และมีความเจริญรุ่งเรืองต่อมาจนกระทั่งถึงยุคที่ ๓ และสืบต่อมายังปัจจุบัน ลัทธิที่เกิดมาในตอนปลายของยุคที่ ๒ นี้มี ๔ ลัทธิด้วยกัน คือ ๕. มีมางสา หรืออีกนามหนึ่งว่า ปรวมีมางสา ของ ไชมินิ ทรรศนะทั้ง ๖ นี้มีทั้งหลักการและปรัชญาในการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเพียงทรรศนะและปรัชญาที่อยู่ในหนังสือเท่านั้น เพราะวิถีชีวิตของชาวฮินดูในปัจจุบันนั้น จะนับถือและปฏิบัติกันในแนวทางของ ๓ นิกายใหญ่ ๆ คือ ไศวะนิกาย ไวษณพนิกาย และศักตินิกาย ๗ เท่านั้น ๖. เวทานตะ หรือ อุตตรมีมางสา ของ พาท รายณะ ลัทธิที่เกิดมาในตอนปลายของยุคที่ ๒ นี้มี ๔ ลัทธิด้วยกัน คือ

๑. ลัทธิไศวะนิกาย
๒. ลัทธิไวษณพนิกาย
๓. ลัทธิบูชามเหสีของพระผู้เป็นเจ้า ( ลัทธิศักติ )
๔. ลัทธิตันตระ


ยุคหลังจนถึงปัจจุบัน

      ยุคนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีคริสตศักราช ๒๐๐ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งหากคิดระยะเวลาเริ่มแรกถึงปัจจุบันก็นับเป็นเวลาเกือบ ๒,๐๐๐ ปี ศาสนาพราหมณ์ในยุคนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิมที่อยู่ในยุคที่ ๑ และยุคที่ ๒ เป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทวะทั้ง ๓ หรือที่รเยกว่า “ตรีมูรติ” ที่มีความชัดเจนขึ้นจากยุคที่ ๒ หรือในลัทธิต่าง ๆ ทั้งไศวะนิกาย หรือไวษณพนิกาย ก็ได้มีนิกายที่แยกย่อยลงไปอีก ซึ่งจะขอกล่าวอย่างละเอียดในบทต่อไป

    ๑. พรหมัน หรือ พรหมาตมัน หรือปรมาตมัน มาจาก “ปรม+อาตมัน” แปลว่า ดวงวิญญาณ หรือ อาตมะอันยิ่งใหญ่
   ๒. BC. ก่อนสมัยพุทธกาล
   ๓. ศรุติ ตรงข้ามคือ สมฤติ หมายถึง สิ่งที่จำมาได้
    ๔. อัธวรรยุ ; อุทคาตรี พราหมณ์ แบ่งได้เป็น ๔ จำพวก คือ ๔.๑ พรหม พราหมณ์ที่มีความรู้สูงกว่าพราหมณ์จำพวกอื่น ๆ จะต้องมีความรู้ในพระเวททั้งสาม (ไตรเพท) เป็นอย่างดี เป็นผู้จัดทำพิธีบูชายัญ และตรวจสอบความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในขณะการเตรียมพิธีของพราหมณ์พวกอื่น ๔.๒โหรตรี พราหมณ์ผู้ทำหน้าที่ถวายเครื่องสังเวยในการทำพิธีบูชายัญเป็นผู้กล่าวอัญเชิญเทพเจ้าและใช้บทสวดจากฤคเวท ๔.๓ อัธวรรยุ พราหมณ์พวกแรกที่เริ่มการบูชาไฟ ถวายน้ำโสม โดยใช้บทสวดจากยชุรเวท ๔.๔ อุทคาตรี พราหมณ์ชั้นผู้นำ เป็นผู้สวดสามเวท
    ๕. เวทานตะ “ขออภัย รายละเอียดยังไม่ได้จัดทำเพราะเนื้อหาค่อนข้างยาวครับ”
    ๖. อวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ อวตารเป็นพระกฤษณะ หรือเรียกว่า “กฤษณาอวตาร” ทรงอวตารมาเป็นชายเลี้ยงโคเพื่อชี้ทางและขับรถศึกให้แก่พระอรชุน
    ๗. ศักตินิกาย นิกายที่บูชาเทพศักติ (ชายา) ของเทวะ




ยุคไตรเพท
         คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจากพระนางสุรภี และพระบิดาก็คือพระกัศยปะเทพบิดร


คัมภีร์พรหมมานัส
     พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจากพระประชาบดีมิได้เกิดจากพระโลหิตของพระพรหมดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า “เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา” พระรุทรหรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า “เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น” พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า “พระรุทร” ซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง

         ในคัมภีร์โบราณที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณได้อธิบายถึงประวัติความเป็นมาการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่าเมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มีคัมภีร์พระเวทและพระธรรมบังเกิดขึ้นและเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกันจึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ “พระปรเมศวร” ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลกโดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตรสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด


 




__________________
Page 1 of 1  sorted by
 
Quick Reply

Please log in to post quick replies.

Tweet this page Post to Digg Post to Del.icio.us


Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard