แต่เดิมนั้น คือราวสี่พันปีก่อน พ.ศ. ดินแดนชมพูทวีปหรืออินเดียในปัจจุบัน เป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองฑราวิฑ (Dravidian) ตัวดำ ๆ เล็ก ๆ อย่างที่เราเรียกว่าเงาะนั่นเอง พอล่วงมาอีกราวสามพันปีจึงได้มีชนชาติใหม่เชื้อสายอินโด ยูโรเปียนอพยพเข้ามาอยู่แถบลุ่มน้ำสินธุพวกนี้จึงถูกเรียกว่าชนสินธุ บางคนเรียกเพี้ยนไปเป็นอินดัส (Indus) บางคนเรียกฮินดู (Hindu) แล้วก็เลยกลายเป็นฮินดูเอามาจากชื่อภูเขาฮินดูกูฏ ซึ่งเป็นบริเวณที่ชนอารยันเหล่านี้อพยพมาอยู่ตอนแรก ๆ พวกอารยันฉลาดกว่าชนพื้นเมืองจึงได้ครอบครองชมพูทวีปส่วนเหนือทั้งหมดในเวลาต่อมา และได้นำเอาลัทธิต่างๆ มาใช้ เริ่มจากการนับถือธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ พายุ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฯลฯ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีกรรมบูชาและแต่งคัมภีร์พระเวทขึ้นเพื่อใช้สวดสรรเสริญพระพรหมผู้สร้างสรรพสิ่ง
พอผู้คนเพิ่มความเคารพนับถือพราหมณ์ว่าเป็นผู้แทนของพระเจ้า พราหมณ์ก็เลยมีอำนาจและอิทธิพลเหนือกว่าวรรณะอื่นๆ จะพูดจะทำอะไรคนก็เชื่อไปหมดพราหมณ์เห็นว่าพระเจ้าองค์เดียวคงจะน้อยไป ก็เลยยกย่องเอาพระอิศวรหรือพระศิวะ กับพระนารายณ์หรือพระวิษณุขึ้นมานั่งแท่นเสมอด้วยพระพรหม กลายเป็น ตรีมูรติ คือ
พระพรหม ... ผู้สร้าง
พระนารายณ์ ... ผู้ปกปักษ์รักษา
พระอิศวร ... ผู้ทำลาย
โดยมีสัญลักษณ์เป็นอักษรเทวนาครี ๓ ตัว อ่านว่า โอม ตัว อ. แทนพระศิวะ ตัว อุ แทนพระวิษณุ ตัว ม แทนพระพรหม ไม่ว่าจะทำพิธีกรรมอะไร ชาวฮินดูจะต้องตั้งต้นสวดคำว่าโอมก่อนเสมอ
ต่อมาถึงต้นสมัยพุทธกาล ชนฮินดูก็ชักมีความเห็นแตกแยกในการนับถือบูชาพระเจ้าทั้งสามองค์นี้ และก่อกำเนิดนิกายต่างๆ ขึ้นมา เช่น นิกายไวษณพ นับถือพระนารายณ์แต่เพียงองค์เดียว มีอวตารในรูปลักษณะต่างๆ มากมาย ส่วนนิกายไศวะนั้นนับถือพระศิวะว่าองค์นี้แหละที่สร้างโลกละ เป็นองค์แก่นแท้ของจักรวาลยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าองค์อื่นๆ ทั้งหมด
ชนฮินดูที่นับถือพระศิวะนี้สังเกตได้ง่าย คือที่หน้าผากจะเขียนขี้เถ้าของขี้วัวเป็นสัน และมีจุดดิลก บางคนจะเขียน ๒ เส้นแล้วแต้มดิลกไว้ข้างใต้ บางคนเขียน ๓ เส้น มีดิลกใหญ่ตรงกลาง บางคนเขียนรูปสามเหลี่ยมหรือพระจันทร์ครึ่งซีกแต้มดิลกตรงกลาง นอกจากนั้นก็ยังมีลูกประคำแขวนคอ ผูกศิวลึงค์ไว้ที่แขน หรือไม่ก็เขียนรูปศิวลึงค์ไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ศิวลึงค์หรือเครื่องหมายบุรุษเพศ จัดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่สุด เป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้สร้างโลกเลยละครับ มูลเหตุของเรื่องนี้มีอยู่ว่า
ครึ่งหนึ่งเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สององค์ คือพระพรหมกับพระนารายณ์ พร้อมทั้งเทพบริวารได้เสด็จไปเยี่ยมพระศิวะบนเขาไกรลาศ เผอิญตอนนั้นพระศิวะกำลังสำเริงสำราญกับพระอุมามเหสีอย่างสุดเหวี่ยง ทั้งดื่มเมรัยเมามาย ทั้งร่วมรักกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่รู้ว่ามีใครมาเยือน เป็นเหตุให้เหล่าเทพทั้งหลายหัวเราะขบขันและนินทากันอย่างครื้นเครง พอสร่างเมาพระศิวะก็ทรงละอายพระทัยยิ่งนัก ความเสียพระทัยกำเริบรุนแรงจนสิ้นพระชนม์ทั้งพระชายาด้วย แต่ก่อนจะสิ้นพระชนม์นั้นพระศิวะทรงตั้งปณิธานไว้ว่า ความละอายครั้งนี้จะต้องได้รับการบูชาจากมนุษย์ตลอดไปจะเกิดใหม่เป็นรูปอวัยวะเพศชาย (ศิวลึงค์) ผู้ที่คารวะบูชาจะได้ขึ้นสวรรค์บนยอดเขาไกรลาส
นอกจากจะเป็นรูปศิวลึงค์โดดๆ แล้วยังมีสัญลักษณ์อีกแบบหนึ่งที่บูชากพระอุมามารดาแห่งโลกควบคู่ไปกับพระผู้สร้าง คือเป็นรูปศิวลึงค์ตั้งอยู่บนฐานกลม ๆ คล้ายกับเครื่องโม่แป้ง ซึ่งเรียกว่า โยนี เนื่องจากชนฮินดูนิกายนี้มีนับร้อยล้านคนในอินเดีย เครื่องหมายนี้จึงมีเกลื่อนกลาดอยู่ตามศาสนสถานต่างๆ ประมาณว่าทั่วอินเดียมีไม่น้อยกว่า ๓๐ ล้านอัน
ชนฮินดูนิกายไศวะยังนับถือวัวนันทิ (Nandi) ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะ ถือว่าให้น้ำนมและเนื้อแก่มนุษย์จึงเปรียบเสมือนมารดา จัดว่าวัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ชนฮินดูยังใช้และเยี่ยวของวัวฆ่าเชื้อโรค โดยเวลาเช้ามืดจะกวาดบ้านแล้วใช้ขี้วัวผสมน้ำราดในบ้านอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง หรือเมื่อเกิดสิ่งอัปมงคล เช่น มีคนตายในบ้าน ขี้วัวยังเป็นโอสถได้อีกด้วยถ้าใช้ทาหน้าผากหน้าอกจะป้องกันการระเหยของน้ำในร่างกายป้องกันหวัด โดยเฉพาะชาวฮินดูในชนบทด้วยแล้วจะนับถือวัวถึงขนาดในเวลาเช้าตรู่จะรองเยี่ยววัวมาดื่มหรือล้างหน้าเพื่อชำระบาปหรือกิเลสให้หมดไป
สำหรับพิธีศิวาราตรีนั้นเป็นการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือนมาฆะชนฮินดูนิกายไศวะจะอาบน้ำชำระกายแต่เช้า ทำความสะอาดบ้านพรมด้วยน้ำผสมขี้วัว ตกแต่งบ้านเรือนด้วยสีและผงแป้ง จากนั้นก็จะไปอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น คงคา ยมุนา โคธาวารี ระหว่างนี้จะไม่กินอะไรเลยจนถึงบ่าย ๔ โมง ซึ่งเสร็จสิ้นพิธี แต่จะมีการสวดบูชาพระศิวะทุก ๓ ชั่วโมง จึงไม่ได้นอนกันเลยตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ในพิธีบูชา ชาวฮินดูจะนำเอาเครื่องสังเวยไปถวายแก่พระศิวะ ณ เทวาลัยที่ประดิษฐานศิวลึงค์ เขาจะล้างศิวลึงค์ให้สะอาดแล้วชะโลมด้วยขี้เถ้าที่ได้จากการเผาขี้วัวผสมกำยาน แล้วห่อผ้าใหม่ด้วยความเคารวะอย่างสูงขี้เถ้าที่เหลือเป็นวัตถุมงคลใช้ทาตัว
สำหรับการล้างบาปด้วยน้ำนั้นเรียกว่าพิธีสนธยากระทำสามครั้ง เริ่มจากการสวดมนต์สรรเสริญแม่น้ำคงคา แล้งลงอาบ ตั้งสมาธิวักน้ำใส่มือ ๓ ครั้ง หันหน้าไปทางพระอาทิตย์แล้วขึ้นจากน้ำ หันหน้าไปทางตะวันออกกรอกน้ำใส่หม้อทองเหลืองแล้วเอาตั้งไว้ตรงหน้า ใช้ขี้เถ้าและไม้หอมถูกหน้าผาก แต้มดิลก สวมลูกประคำระลึกถึงพระวิษณุ แล้วดื่มน้ำจากหม้อทองเหลือง ๓ อึก รินน้ำลงบนพื้น ๓ ครั้ง เป็นการคารวะพระอาทิตย์ รินต่อไปเป็นการตรวจน้ำถึงพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะตั้งสมาธิหมุนรอบตัว ยิ่งหลายรอบยิ่งแสดงว่าศรัทธาแก่กล้า
ความจริงพิธีอาบน้ำล้างบาปนี้ชาวฮินดูพึงกระทำทุกวัน แต่ในวันศิวาราตรีจะยิ่งใหญ่ประจำปี เรียกว่าพิธีกุมภเมลา ที่นิยมไปทำพิธีกันมากก็คือเมืองพาราณสี โกส้มพีตรงจุดที่แม่น้ำคงคา ยมุนา และสรัสวดีมาบรรจบกัน และที่น้ำพุร้อนตาโปทาราม เชิงเขาเวภารบรรพใกล้เมืองราชคฤห์ซึ่งจะมีชาวฮินดูไปทำพิธีศิวาราตรีนับแสนๆ บางปีถึงกับเหยียบกันตาย
วันศิวาราตรีในวันนี้นักบวชฮินดูที่เรียกกันว่าสาธุ ซึ่งเดินทางแสวงหาบุญไปทั่วแผ่นดิน โดยถือเอาท้องฟ้าเป็นหลังคาป่า, ถ้ำ และอุโมงค์ระบายน้ำเป็นอาคาร จะพากันหลั่งไหลเข้ามาในเมือง ทั้งหนุ่มทั้งแก่สวมเสื้อผ้าสะอาดที่สุดของตนทั้งบุรุษและสตรีต่างท้องถิ่นต่างภาษา ครับ เฉพาะในเนปาลนั้นพูดว่าแตกต่างกันนับได้ถึง ๔๐ กว่าภาษา มารวมเบียดเสียดกันอยู่ด้านในของวิหารซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ห้ามบุคคลนอกศาสนาเข้ามาโดยเด็ดขาด พราหมณ์ผู้ทำพิธีจะแต้มดิลกซึ่งเป็นส่วนผสมจากผงสี แป้งขาว ผงดอกไม้และน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสาวกพระศิวะเจ้า
รอบนอกวิหารนั้นก็คล้าย ๆ กับงานวัดยามเทศกาลสำคัญของเรา มีแม่ค้าพ่อค้าเร่นำของมาขาย กลิ่นไอของอาหารตลบอบอวล มีแผงขายเสื้อผ้า ของเด็กเล่นดอกไม้บูชา ตลอดจนธูปและกำยานที่ใช้พิธี มีเด็กเล็ก ๆ วิ่งไปมาพลุกพล่าน ส่วนห่างไกลออกไปซึ่งค่อนข้างสงบนั้นจะมีสาธุบางรูปนั่งสมาธิวิเวกาอยู่ บางรูปก็ชักสร้อยประคำภาวนาพึมพัม บางรูปนั่งอยู่โคนไม้รับดูโชคชะตาราศีจากเส้นลายมือ
พอพระอาทิตย์ลับฟ้า ความมืดย่างกรายเข้ามา ไฟแท่นบูชาลุกโชติช่วง เหล่าสาธุจะกลับไปยังกลดของตนที่เรียงรายอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำ แสงตะเกียงนับพันดวงวอมแวมทั่วบริเวณ สาธุทุกรูปยังไม่หลับนอน เบิกตาอยู่จนถึงเช้าโดยจะลงไปลอยบาป ณ แม่น้ำทุก ๓ ชั่วโมง และกลับไปทำพิธีสวดที่วิหาร
เสียง โอม จะยังคงกังวานอยู่ไปอีกนานเท่านาน